ความทรงจำกับ Final Fantasy
เอ็นทรี่ความทรงจำประจำปีก็กลับมาอีกครั้งนึงแล้ว ปีนี้คิดไว้หลายหัวข้อมาก ตั้งแต่เกมบอยที่ครบรอบ 30 ปีในปีนี้ หรือจะเป็นเกมแนว Diablo ที่ปีนี้ผมค่อนข้างโหยหามากเป็นพิเศษ แล้วไปไงมาไงไม่รู้หวยดันมาออกที่ Final Fantasy นี่แหละ 😅
ใครที่หวังว่าจะได้อ่านเกี่ยวกับภาคหลัง ๆ อย่าง XII XIII XV Type-0 อันนี้ไม่ต้องหวังเลยนะ เพราะไปไม่ถึงหรอก😅 มีถึงแค่ 8 กับภาคย่อย ๆ นิดหน่อยแค่นั้น อ้อ พวก Tactics ก็ไม่มีนะ😊 แล้วภาพแปะหัวนี่ ใจจริงกะหาหนังสือ Final Fantasy มาวางแผ่หมดบ้านอยู่หรอก แต่มันกระจายไปอยู่ไหนบ้างไม่รู้ ถ้ามานั่งหาอาจจะได้เลื่อนไปเขียนปีหน้า🤣
ผมเข้าสู่โลกของเกม RPG ด้วยหน้ารวมสูตรเกม Dragon Quest III ซึ่งมีทั้งบอกว่าคำสั่งแต่ละคำสั่งทำอะไรได้บ้าง วิธีหาใบของต้นไม้โลก (ยุคหลัง ๆ คงเรียกกันว่าใบชุบ😅) หานั่นหานี่มากมาย อ่านแล้วก็แบบ เฮ้ย เกมอะไรมันช่างเต็มไปด้วยปริศนา บรรยากาศการผจญภัย เรื่องราวมากมาย และนั่นก็ทำให้....... Final Fantasy 1 กลายเป็นเกม RPG เกมแรกที่ได้เล่น (อ้าว? 😕)
ใครที่หวังว่าจะได้อ่านเกี่ยวกับภาคหลัง ๆ อย่าง XII XIII XV Type-0 อันนี้ไม่ต้องหวังเลยนะ เพราะไปไม่ถึงหรอก😅 มีถึงแค่ 8 กับภาคย่อย ๆ นิดหน่อยแค่นั้น อ้อ พวก Tactics ก็ไม่มีนะ😊 แล้วภาพแปะหัวนี่ ใจจริงกะหาหนังสือ Final Fantasy มาวางแผ่หมดบ้านอยู่หรอก แต่มันกระจายไปอยู่ไหนบ้างไม่รู้ ถ้ามานั่งหาอาจจะได้เลื่อนไปเขียนปีหน้า🤣
เริ่มจาก Dragon Quest
อ้าว ไหงมาอีกเกมล่ะนี่? ก็เพราะความจริงแล้วผมเป็นสาวก DQ มากกว่า FF น่ะสิ คือพยายามจะเป็นน่ะนะ แต่เอาเข้าจริง ๆ ดันได้เล่น FF มากกว่าซะงั้น😅 ถ้าย้อนกลับไปยุคที่คนไทยยังนิยมเรียก RPG ว่าเกมภาษา DQ เป็นอะไรที่เข้าถึงเด็กในยุคนั้นได้มากกว่า ในขณะที่ FF น่าจะเข้าถึงแค่หมู่คนเล่นเกมเท่านั้น ที่เป็นแบบนั้นเพราะทาง Enix (ยังไม่ได้รวมกับ SquareSoft) ไม่ได้ทำเกมขายอย่างเดียว แต่เป็นสำนักพิมพ์ด้วย ทำให้มีการ์ตูน Dragon Quest ออกมามากมาย เนื้อเรื่องมาจากในเกมบ้าง เชื่อมกับในเกมบ้าง หรือแยกออกมาเป็นโลกใหม่ต่างหากไปเลยก็มี (เล่มที่ชอบมากคือ "กว่าจะมาเป็นเกมดราก้อนเควสต์" ที่ทำให้ผมอยากทำเกมมาจนทุกวันนี้😊) ซ้ำยังมีอนิเมะออกมาอีก ทั้งผู้กล้าอาเบลและการผจญภัยของได ซึ่งเรื่องหลังนี่ฮิตถล่มทลายมาก ๆ แม้จะดูเป็นโลกที่แยกออกมาไม่เกี่ยวกับภาคเกม แต่ก็กลายเป็น 1 ในตำนานของเด็กยุค 90 ไปแล้วผมเข้าสู่โลกของเกม RPG ด้วยหน้ารวมสูตรเกม Dragon Quest III ซึ่งมีทั้งบอกว่าคำสั่งแต่ละคำสั่งทำอะไรได้บ้าง วิธีหาใบของต้นไม้โลก (ยุคหลัง ๆ คงเรียกกันว่าใบชุบ😅) หานั่นหานี่มากมาย อ่านแล้วก็แบบ เฮ้ย เกมอะไรมันช่างเต็มไปด้วยปริศนา บรรยากาศการผจญภัย เรื่องราวมากมาย และนั่นก็ทำให้....... Final Fantasy 1 กลายเป็นเกม RPG เกมแรกที่ได้เล่น (อ้าว? 😕)
Final Fantasy ภาคแรกที่ได้เล่น และภาคแรกที่ได้จบ
ต่อไปเราจะเข้าโหมด list เป็นข้อ ๆ เรียงไปยาว ๆ กันตามเคย เขียนสบาย อ่านเพลิน- จุดเริ่มต้นมันมาจากไปร้านเกมแล้วลองเช่ามา เพราะเห็นในหนังสือเกมพูดถึงกัน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าเป็นยังไง (ตอนนั้นก็ไม่มีบทสรุป ไม่รู้จะหาจากไหน) โดยตลับที่ได้มาเป็นสีขาว ซึ่งทุกตลับที่เจอก็เป็นสีขาวหมด เหมือนซีรี่ส์ FF ตลับต้องขาว จะก็อปหรือแท้ก็ต้องขาวไว้ก่อน (ยุคหลัง ๆ ก็เจอตลับดำเหมือนกัน ก็อปแท้ ๆ 😁)
- เอามาก็เล่นไม่ค่อยเป็นหรอก แต่มันเข้าถึงง่ายกว่า DQ คือ กดคุยกดสำรวจเอาได้เลย ไม่ต้องมานั่งเลือกคำสั่งก่อนแบบ DQ แถมให้สร้างตัวละครเองด้วย แม้จะเลือกได้แค่ชื่อกับอาชีพ 4 ตัว ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าตัวไหนอาชีพอะไร (ไอ้ที่เป็นโจร นึกว่าเป็นทหารมาตั้งนาน😅)
- แม้การคุยกับสำรวจจะสะดวก แต่การซื้อของมันไม่ง่ายเลย ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่รู้ บทสรุปก็ไม่มี แถมพวกคาถาก็ต้องซื้อเองหมด (DQ แค่เลเวลอัพก็ได้มาเลย) อาวุธกับคาถาถ้าไม่ตรงอาชีพก็ติดไม่ได้ ไม่รู้จะทำอะไรต่อ สุดท้ายก็เอาไปคืน 😂
- ต่อมาก็ไปเช่า DQ3 มา อือ มันกลายเป็น DQ ภาคแรกที่ได้เล่น ก็คิดว่าสูตรเกมที่ได้มาตอนนั้นจะพอ แต่ไม่พอ โดนอีการอบเมืองจิกตายตลอด😂 แต่ตอนนั้นเล่นมั่ว ๆ จนรับเพื่อนร่วมปาร์ตี้แบบมั่ว ๆ จนครบ 3 คนแล้ว ไม่นานก็เอาไปคืน😌
- หลังจากนั้นก็ยืม ๆ คืน ๆ FF1 กับ DQ3 อีก 2 รอบได้มั้ง จำได้ว่ารอบสุดท้าย DQ3 ตลับเปิดแล้วภาพเละ พังเรียบร้อย😅
- ต่อมาก็เล่น RPG อื่นไปเรื่อย หลัก ๆ ก็ DragonBall Z นั่นแหละ ตอนนั้นชอบภาค 3 มาก
- จนวันหนึ่ง นิตยสาร Tonbo ออกหนังสือบทสรุป DQ1 แบบละเอียดยิบ ๆ แล้วมีแบบแพ็คขายพร้อมตลับภาค 1 ด้วย (แน่นอน ก็อป😅) สั่งมาทันที แล้วนั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เล่นเกม RPG แบบหามรุ่งหามค่ำ เดินวนหามอนเก็บเลเวล เหนื่อยก็พัก ใช้ลูร่าบินกลับเมืองจดรหัสผ่าน
- สมัยนั้นรู้สึกว่าเล่นเกม RPG มันต้องอิน เลยลงทุนซื้อหนังสือสอนภาษาญี่ปุ่นมาเพื่อให้ใส่ชื่อตัวเองเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ (โคตรพยายาม😂) และ DQ1 มันมีระบบที่ตัวละครจะได้ค่าสเตตัสเด่นด้อยจากชื่อที่ตั้ง ทำให้รู้สึกว่านี่แหละค่าพลังของเราจริง ๆ (ใครสนใจลองเล่นได้ที่ Dragon Warrior Name/Stats Tool แต่เป็นภาคภาษาอังกฤษนะ และถึงจะตั้งชื่อได้ 8 ตัวอักษร แต่มันสนแค่ 4 ตัวแรกเท่านั้นแหละ)
- เล่นไปจนหาทุกอย่างครบหมด เหลือแค่เก็บเลเวลไปบุกปราสาทราชามังกรแล้ว ดันเกิดขี้เกียจ เลยใส่พาสเวิร์ดเลเวล 30 ไปปราบจอมมารเลย หมดภาระไปเกมนึง และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเล่นเกม RPG จบ🤗
- ต่อมา Tonbo ก็เริ่มโครงการใหม่ ทำหนังสือคู่มือบทสรุป DQ2 มีแบบขายพร้อมตลับเช่นเคย เอ้า สั่งไป แต่สิ่งที่ส่งมามีแต่หนังสือ ตลับไม่มี.... จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้เล่น DQ2 เลย😅
- เอาละ นอกเรื่องมานาน จะกลับไปที่ FF แล้ว เรื่องมันเริ่มจากตอนนั้นเรียนได้เกรด 4 (บางวิชา) แล้วพ่อผมให้โควต้าซื้อของให้ตามจำนวนเกรด 4 ก็เอาโควต้าตรงนี้ไปฝากซื้อเกมตลับนึงที่เล็งไว้พักนึงแล้ว (เล็งไว้ไม่นานมาก เพราะมันเพิ่งวางขาย)
- มันคือ Final Fantasy I•II ตลับรวมมิตรที่ออกมายุคท้าย ๆ ของเครื่องแฟมิคอมแล้ว ตอนนั้นซื้อมาในราคา 1200 บาท เป็นเกมที่แพงที่สุดเท่าที่เคยซื้อมา (จนถึงบัดนี้ ยุคสตีม😅) ก่อนที่ต่อมาไม่กี่เดือน เพื่อนผมเห็นแล้วอยากได้บ้าง เลยฝากผมซื้อ ซึ่งตอนนั้นร้านเขาก็ลดเหลือ 600 ซะงั้น (หลังหักกันตั้งแต่ยังไม่มีสตีม😂)
- หลังกล่องจะมีปกดั้งเดิมของตลับทั้ง 2 ภาคให้ดู เป็นภาพฝีมือ อ. โยชิทากะ อามาโนะ โลโก้ก็ยังเป็นแบบเปลี่ยนไปมาตามใจฉัน ไม่ใช่ฟอนต์ที่เป็นเอกลักษณ์แบบทุกวันนี้ (ราคาหลังกล่อง 6800 เยน ตอนนั้นน่าจะเป็นเงินไทยสัก 1300 บาทเลยนะ ร้านนั้นขายขาดทุนรึเปล่าเนี่ย ตอนหลังลดเหลือ 600 อีก สภาพก็มือ 1 นะ หรือมันจะเป็นตลับก็อปโคตรเนียนฟระ😅)
- ของในกล่องก็มี ตลับเกม คู่มือเล่มใหญ่เป็นบทสรุป (ที่แค่ดูภาพก็เข้าใจแล้ว มีบอกด้วยว่าร้านค้าแต่ละเมืองมีอะไรขายบ้าง) เล่มเล็กเป็นคู่มือการเล่น (การควบคุม การซื้อของ การใช้เมนูต่าง ๆ ตารางคาถา รวม ๆ ก็เป็นคู่มือการใช้ชีวิตในเกมนี้นั่นแหละ😊) ทั้งสองเล่มพิมพ์สี่สีทั้งเล่ม มีภาพประกอบสวยงาม และสุดท้ายคือโปสเตอร์เป็นแผนที่ของทั้ง 2 ภาค (มี 2 ด้าน ด้านละภาค)
- ตลับออกแบบมาแปลกดี คือมีปั๊มนูนคำว่า Famicom แต่ดันเติมซี่ ๆ แบบตลับ NES เข้าไปด้วย เป็นตลับแรกที่ผมได้เจอน็อตยึดแบบพิเศษ (เอาจริง ๆ ตลับธรรมดามันไม่มีน็อตด้วยซ้ำ) ที่หาไขควงมาไขไม่ได้ง่าย ๆ เลยมั่นใจว่าแท้แหง ๆ (ก็อปก็ลงทุนไป แค่คู่มือก็งานโหดแล้ว😂)
- เนื่องจากพ่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ (ก็ฝากพ่อซื้อไง วันนั้นพ่อไปงานแถวนั้นพอดี) วันนึงพ่อเลยมานั่งดูผมเล่นแล้วก็ถาม "เกมราคาตั้งพันกว่า มันมีดีอะไร" ผมก็ตอบไปว่า "เกมนี้มันเหมือนจำลองโลกทั้งโลกมา เล่นเกมนี้แล้วเหมือนได้ท่องโลกโลกนึงเลย" ก็มีโมเม้นต์แบบเรื่องคุณพ่อแห่งแสงนิดนึง แต่พ่อก็ไม่ได้อยู่เล่น FFXIV หรอกนะ😊
- แต่การเล่น FF1 ตลับแท้ครั้งแรกนี้ก็ยังไปไม่ถึงฝั่ง เพราะผมนึกว่ามันเลเวลตันที่ 30 แบบ DQ1 ก็เลยเก็บเลเวลจนถึง 30 แล้วไปลุยดันเจี้ยนนึงเพื่อดำเนินเนื้อเรื่องต่อ.... แต่เลเวล 30 มันไม่พอ!! ตอนนั้นเป๋ไปเลย แล้วก็เปลี่ยนบรรยากาศไปเล่นภาค 2 แทน😅
- FF2 เป็นเกมที่เหมือนการประกาศว่าคนทำเกมซีรี่ส์นี้ไม่อยากทำอะไรซ้ำซาก เพราะเกมไม่ใช่แค่ปรับปรุง แต่ดันเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่าง จนเหมือนกลัวจะโดนเขียนรีวิวว่า "เกมก็เดิม ๆ แค่เปลี่ยนเนื้อเรื่อง"
- จุดเปลี่ยนมันเริ่มตั้งแต่ตอนตั้งชื่อตัวละคร ภาคนี้จะไม่ได้ให้เราสร้างตัวละครเอง (ซึ่งจริง ๆ แค่เลือกอาชีพ😅) แต่ตัวละครหลักจะมีคาแรคเตอร์และเรื่องราวของตัวเองอยู่แล้ว เราทำได้แค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น
- เกมเปิดมาก็เจอฉากต่อสู้เลย ซึ่งสู้ไม่ได้หรอก โดนบังคับแพ้ พอฟื้นมา อ้าว ตัวที่ 4 หาย? และเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ จะมีตัวละครอื่นมาเสียบแทนตัวที่ 4 เรื่อย ๆ และบางตัวก็ได้กลายเป็นตำนาน (กล่าวขานยาวนานไปจนถึงภาค 9)
- ระบบตีมอนเก็บ exp ให้เลเวลอัพมันเก่าไป ใช้วิธีพัฒนาทักษะตามการกระทำแทน (แบบ Skyrim เลย ล้ำมั้ยล่ะ) เช่น ถ้าใช้ดาบบ่อย ๆ ก็จะเก่งดาบ ยิงธนูบ่อย ๆ ก็จะเก่งธนู โดนโจมตีบ่อย ๆ HP และความแข็งแกร่งก็จะเพิ่ม ใช้คาถาบ่อย ๆ MP เพิ่ม และการอัพเลเวลคาถาก็ต้องใช้คาถาบ่อย ๆ นี่แหละ ด้วยระบบนี้เลยไม่จำเป็นต้องมี Jobs อีกต่อไป อยากปั้นตัวไหนเป็นสายอะไร ก็เลือกของให้ถือ เลือกตำแหน่งให้ตรง (อยากให้ถึก จับยืนแนวหน้า) ใช้คาถาที่เหมาะ แค่นั้น
- และแน่นอน มันต้องมีคนหาช่องโหว่ให้ปั๊มทักษะง่าย ๆ เทพกันตั้งแต่ต้นเกม 😅 (แต่ผมไม่ชอบแนวทางนี้เท่าไหร่ ชอบให้ตัวละครพัฒนาไปตามเนื้อผ้ามากกว่า แต่มันก็ไม่ค่อยจะพอกินเท่าไหร่)
- ตัวฉากก็มีความ Open World มากขึ้น ถ้าอ่านไม่ออกหรือไม่มีบทสรุปนี่ หลงไปผิดทางโดนมอนโหด ๆ ตบตายหรือดำเนินเรื่องต่อกันไม่ได้ง่าย ๆ ในด้านการดำเนินเรื่องก็มีการนำเอาระบบคีย์เวิร์ดมาใช้ คือเวลาดำเนินเรื่องไป บางทีจะมีคีย์เวิร์ดขึ้นมาให้เราเก็บ แล้วเวลาคุยกับตัวละครบางตัวจะมีคำสั่งให้เลือกคีย์เวิร์ด ถ้าเลือกถูกต้องก็จะดำเนินเรื่องต่อได้ เป็นระบบที่แปลกดี และมีใช้แค่ภาคนี้ภาคเดียว
- ภาค 2 นี้เอากลับมาเล่นกี่ทีก็รู้สึกท้อกับระบบพัฒนาตัวละคร คือแบบเดิม ๆ แค่เก็บ exp ให้ครบก็จบแล้วใช่มั้ย แต่นี่มันต้องมาคอยปั๊มนั่นนี่ เดินวนตั้งนานได้เพิ่มแค่เลเวลดาบ อะไรงี้ แต่ด้านเนื้อเรื่องก็ถือว่าพัฒนาไปไกลมาก ๆ เนื้อเรื่องดีสุด ๆ
- หลังจากภาค 1 กับ 2 โดนมัดรวมขายในเครื่อง Famicom แล้ว ต่อมา 2 ภาคนี้ก็โดนมัดขายให้เครื่อง PlayStation และ Game Boy Advance อีก แบบเป็นคู่หูแยกกันไม่ออกจริง ๆ (แต่ลงมือถือนี่แยกกันนะ)
- แล้วตอนที่มาลง Game Boy Advance นี่แหละ ที่ผมเอา FF1 มาเล่นจบจนได้ ไม่ได้จบธรรมดา แต่จบแบบพลัง 99 999 เต็มหมดด้วย FF1 ก็เลยเป็น Final Fantasy ภาคแรกและภาคเดียวที่เล่นจบมาจนถึงบัดนี้ 😄
MP มันเพิ่มไม่ได้แล้ว เลเวลตัน |
Final Fantasy III ภาคที่เกือบไม่ได้เล่น
- ในบรรดา Final Fantasy ยุค 2D ภาค 3 นี่ดูจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง เพราะในขณะที่ภาค 1 2 4 5 6 ถูกพอร์ตลงทั้ง PlayStation และ Game Boy Advance แต่ภาค 3 กลับถูกข้ามไปดื้อ ๆ แถมเคยจะพอร์ตลงเครื่อง WonderSwan Color แต่โดนยกเลิกซะก่อนอีกต่างหาก
- สำหรับผม สมัยนั้นได้แตะภาค 3 ของ Famicom น้อยมาก เพราะหาซื้อตลับไม่ได้ จะมีก็แต่เพื่อนเอามาเล่นให้ดูที่บ้าน แล้วก็ลองเอามาเล่นในอีมูเลเตอร์นิดหน่อย (แต่ไม่ได้เล่นยาว เพราะตอนนั้นติดใจ RPG ภาษาอังกฤษแล้ว พอเจอภาษาญี่ปุ่นเลยทนเล่นไม่ได้😂) แต่ก็มีความทรงจำติดมาบ้าง
- เกมเริ่มมาแบบแปลกใหม่เช่นเคย คือเริ่มก็มาติดอยู่ในถ้ำ แล้วมีตัวละครมาให้ 4 ตัวหน้าตาเหมือนกันหมดต่างแค่สี เหมือนเกมจะกลับไปใช้ระบบตัวละครโนเนมแบบภาค 1 อีกครั้ง โดยตัวละครทั้ง 4 จะมีอาชีพตั้งต้นเป็น Onion Knight (อัศวินหัวหอม) แต่ตอนหลังเราจะได้ Jobs มาเปลี่ยนได้ แถมเปลี่ยนกลับไปมาได้อิสระ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้ง 4 ตัว (แต่การปราบบอสบางตัวอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนให้เป็นอาชีพเดียวกันหมด 4 ตัว ไม่งั้นก็ปั๊มเลเวลไป)
- นั่นแหละความทรงจำ หมดแล้ว... 😅
- แต่เดี๋ยวก่อน ต่อมาในยุค NDS จู่ ๆ ภาค 3 ก็ถูกรีเมคเป็น 3D เต็มขั้น ตัวละครเริ่มต้นทั้ง 4 ถูกใส่คาแรคเตอร์ใหม่มีบทพูดมีเรื่องราวปูมหลังของตน ไม่โนเนมแล้ว และอาชีพเริ่มต้นก็เปลี่ยนเป็น Freelancer (อาชีพสุดฮิตในโลกจริง😃) ส่วน Onion Knight กลายเป็นอาชีพลับไป
- ผมเล่นภาคนี้บน NDS ไปไกลมาก น่าจะราว ๆ 70% ได้ มีหลายอย่างที่เพิ่งได้รู้ในเวอร์ชันนี้ ถ้าได้เจอตอนสมัยเล่น Famicom นี่ คงยกให้เป็นสุดยอดเกมประทับใจตลอดกาลแน่ ๆ
Final Fantasy IV เกมที่มีคนทำภาษาไทย
- หลังจากลง Famicom มา 3 ภาค ทีมงานที่ไม่ชอบอะไรซ้ำซากแบบนี้มีหรือจะทนอยู่ต่อ ก็หนีไปเครื่อง Super Famicom สิ😄 ในขณะที่ DQ ยังคงออกภาค 4 บน Famicom ต่อ
- เป็นภาคที่ผมมองข้ามสุด ๆ หนึ่งคือไม่มีเครื่องจะเล่น สองคือถึงจะเป็นเครื่องซูเปอร์ แต่ภาพมันยังสวยไม่สุด เหมือนยังติดสไตล์เดิม ๆ จาก Famicom มา
- ต่อมาในยุคอีมูเลเตอร์ครองเมือง ก็มีคนไทยเอาภาค 4 นี่มาแปลเป็นภาษาไทยด้วยเทคนิคอันสุดยอด (คือไม่ใช่แก้ข้อความเป็นภาษาไทยดื้อ ๆ นะ มันไม่มีฟอนต์ แล้วฟอนต์ในคอมมันใช้กับเครื่องเกมไม่ได้ คิดดูสิว่าสุดยอดขนาดไหน)
- พอเป็นภาษาไทยนี่แหละ เลยขอเอามาลองเล่นหน่อย แล้วก็พบว่าเกมเริ่มแปลกอีกแล้ว เรือเหาะที่โหยหารอคอยได้ขึ้นในภาคก่อน เราดันอยู่บนนั้นแต่ต้น!
- ตัวเอกก็แปลกใหม่ คือมีอาชีพเทพ ๆ อย่าง Dark Knight ติดมาแต่ต้น และภาคนี้ตัวละครนำก็กลับไปมีคาแรคเตอร์เป็นของตัวเองแบบภาค 2 อีกครั้ง ตัวละครที่เอามาร่วมปาร์ตี้ในภาคนี้ได้ก็จะมีอาชีพตายตัว ไม่มีเปลี่ยน (นอกจากเปลี่ยนตามเนื้อเรื่อง) พอมาแบบนี้ก็เริ่มจับได้แล้วว่า เขาจะให้ภาคเลขคี่ใช้ตัวละครโนเนมแต่มีระบบอาชีพ ส่วนภาคเลขคู่จะให้มีคาแรคเตอร์เป็นของตัวเอง และเลือกหรือเปลี่ยนอาชีพตามใจไม่ได้ อ้อ อีกอย่างคือภาพตัวละครในหน้าเมนู ภาคคี่จะเป็นรูปสไปร์ทในฉากต่อสู้ ส่วนภาคเลขคู่จะเป็นภาพหน้าตัวละคร
- FF4 พอเป็นเวอร์ชันอเมริกาดันกลายเป็น FF2 คงเพราะ FF2 กับ FF3 เดิมไม่เคยวางขายในอเมริกามาก่อน ก็เลยข้ามมันซะเลย แต่พอยุค FF7 ก็เริ่มปรับให้เลขภาคตรงกันทั้งโลก
- ภาคนี้ก็จัดว่าเล่นไปไกลระดับนึง คือเล่นไปจนมีตัวนึงเปลี่ยนอาชีพน่ะ อือ ไกลถึงแถว ๆ นั้น
- ตอนหลัง FF4 ก็ถูกรีเมคเป็น 3D ตามภาค 3 ไป และลงเครื่อง NDS เหมือนกัน และทั้งคู่ก็ถูกพอร์ตลงมือถือและ PC ในเวลาต่อมา
- ซึ่งพอเป็นภาครีเมค ก็มีคนไทยตามไปแปลอีก เหมือน SquareEnix จะรับรู้เรื่องนี้ พอลงมือถือทีนี้ก็มีภาษาไทยแบบ Official ให้เลย
- แต่เวอร์ชันนี้ผมข้าม เพราะฉากต่อสู้มันดูอืด ๆ และ... ได้ข่าวว่ายากมาก😅
Final Fantasy V ภาคสุดประทับใจ
- ยังจำเพื่อนคนที่ฝากผมซื้อ Final Fantasy I•II แล้วดันได้ราคาถูกกว่าครึ่งนึงได้มั้ย คนนั้นแหละ วันนึงเขาก็เอากล่องตลับ FF6 ของ SFC มาอวด แน่นอนของแท้ ก็ดีนะ แนะนำภาค I•II ไป แล้วต่อยอดให้เขาได้ถึงระดับนี้
- วันนึงนัดกันมาอัดเทปเป็นละครส่งครู เขาก็เอาเครื่อง SFC มาด้วย แล้วตอนนั้นมีเกมติดมา 2 เกม คือ Rockman X3 กับ Final Fantasy V
- เพลงไตเติ้ล (ที่ปล่อยไตเติ้ลไว้เฉย ๆ แล้วจะขึ้นมา) มันสุดยอดมาก ผมเลยเอาไปเป็นเพลงประกอบละครอัดเทปเลย นึกถึงพวกรายการข่าวที่ชอบเอาเพลง FF8 มาใส่ดื้อ ๆ นี่ เหมือนได้เป็นรุ่นพี่😂
- FF5 นี่ก็กลายเป็นเกมเครื่องซูเปอร์เกมแรกที่ผมได้สัมผัส (ระดับกดจอย) ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ อยากให้เป็นร็อคแมน X3 แท้ ๆ 😂 แต่ก็ไม่ได้เล่นมาก กลัวติด (มีอัดเทปต่อนะเฮ้ย)
- (ในเทปไม่มีเสียงผม เพราะผมเป็นผู้กำกับ + Sound Engineer เออ อันหลังนี่มโน😋)
- ตอนหลังมาได้เล่นเต็ม ๆ ผ่านอีมูเลเตอร์ (วันที่เพื่อนเอามาให้เล่น อีมูยังไม่เกิด) ก็พบว่าเกมกลับมาใช้ระบบเปลี่ยนอาชีพแบบภาค 3 และโชว์ตัวละครในเมนูเป็นสไปร์ทเต็มตัวแบบภาคเลขคี่ แต่ตัวละครกลับมีคาแรคเตอร์และเรื่องราวเป็นของตัวเองแบบภาคเลขคู่ และเป็นภาคที่ตัวละครเริ่มแสดงท่าทางประกอบเหตุการณ์แบบโอเวอร์แอคติ้งมาก😆
- อย่างไรก็ดี ระบบเสียงในอีมูไม่เคยทำให้ผมประทับใจได้เท่าเครื่องจริงวันนั้นเลย
- เป็นภาคที่อยากเอากลับมาเล่นเรื่อย ๆ อยากซื้อแท้บนสตีมมาเก็บสักวัน (ซึ่งดันล็อคโซน กำลังหาช่องทางซื้อข้างนอกอยู่ แต่รีวิวติดลบสุด ๆ เหมือนจะมีบั๊กร้ายแรงอยู่ ซื้อดีมั้ยเนี่ย)
- ความไกลสุดของภาคนี้ ก็แถว ๆ ช่วงที่เราต้องบุกยานอะไรสักอย่างแล้วสู้กับป้อมปืนบนยานน่ะ เล่นไปถึงกี่ทีก็ไม่ชนะสักที😢
Final Fantasy VI เริ่มไฮเทคละ
- เป็นภาคที่เปิดตัวมาได้แปลกตามาก เพราะดันมีตัวอะไรคล้าย ๆ Ride Armor ใน Rockman X เป็นสัญลักษณ์ และตัวเอกของภาคนี้เป็นผู้หญิง (แต่ก็มีพระเอกอยู่) กราฟิกก็พัฒนาขึ้น มีแสงเงามากขึ้น ตัวละครก็ปรับให้ดูสูงขึ้น ในฉากแผนที่ก็ไม่ได้เป็นตัวจิ๋ว ๆ แบบภาคก่อน ๆ แล้ว ฉากก็เริ่มมีความเป็นเครื่องจักรแทรก ๆ อยู่มากขึ้น
- เช่นเดียวกับภาค 4 ในอเมริกาภาค 6 นี่จะนับเป็นภาค 3 (ข้ามภาค 5 อีกแล้ว) และกลับมาเป็น 6 ทั่วโลกหลังการมาของภาค 7
- ระบบอาชีพก็ไม่มีตามภาคเลขคู่ทั้งหลาย ใช้ระบบจ็อบใคร อบิลิตี้มัน
- เป็นภาคที่อยากเอากลับมาเล่นหลายที แต่ส่วนใหญ่จะเล่นได้ไม่ไกล มีไกลสุดนี่.... จำไม่ได้ว่าเล่นถึงไหน แต่เคยสู้กับรถไฟอะไรนี่แหละ
- เป็นภาคแรกที่ผมรู้สึกว่าได้ตามข่าวสารก่อนเกมออกอย่างแท้จริง เพราะภาคก่อนหน้าส่วนใหญ่ออกมาก่อนผมจะเข้าสู่แวดวง RPG และยังไม่ได้ตามนิตยสารเกมแบบจริงจัง แต่ภาค 6 นี่คือช่วงที่ผมมีนิตยสารเกมที่ซื้อประจำอยู่อย่างน้อย 3 เล่ม ก็เลยได้ตามข้อมูลความคืบหน้าเรื่อย ๆ ก่อนเกมออก
- หมดแล้ว สั้นจังแฮะ
หนังสือบทสรุป Final Fantasy VI ที่ขุดเจอ |
Final Fantasy VII จุดเปลี่ยน
- หลังจากเมื่อกี้พูดถึงนิตยสารเกมไปว่าได้ตามข่าวสารมากมายก่อนเกมออก พอมาเจอภาค 7 นี่ ข่าวสารพวกนั้นจิ๊บจ๊อยไปเลย เพราะหนังสือเกมสมัยนั้นทุ่มลงสกู๊ปของภาค 7 หนักมากกกกก จนเกมออกแล้วก็ยังลงข้อมูลหนักมากกกก ถึงกับทำหน้าตอบจดหมายของเกมนี้โดยเฉพาะก็มี คุยกันยาวมากกกกก
- เป็นจุดเปลี่ยน JRPG อย่างแท้จริง ฝั่งตะวันตกเริ่มสนใจมากขึ้น และไม่จำเป็นต้องปกปิดเลขภาคที่แท้จริงแล้ว ใช้เลข 7 ทั่วโลกไปเล้ย!
- เกมก็ยังคงเริ่มในที่แปลก ๆ ไม่ซ้ำภาคเช่นเคย คราวนี้ไปเริ่มในชุมชนแออัดที่ดูอนาคต (แต่เสื่อมโทรม) สุด ๆ
- เป็นตัวเบรคทฤษฎีภาคคู่ภาคคี่ซะยับ ไม่มีแล้วระบบอาชีพในภาคเลขคี่ และต่อจากนี้ก็ไม่มีระบบเปลี่ยนอาชีพในภาคหลักอีกเลย (มีแต่ในภาคต่อหรือภาคแยกจากภาคหลักอีกที อ้อ ภาคหลักไม่นับภาคออนไลน์นะ)
- ถึงไม่มีระบบอาชีพ แต่เราก็สามารถใช้การติดมาเทเรียเพื่อกำหนดสายให้ตัวละครได้ตามชอบ และมาเทเรียนี้ยังเลเวลอัพเพิ่มความสามารถได้ แถมยังมีผลกับค่า Stats บางอย่างของตัวละครด้วย มาเทเรียที่พัฒนาแล้วสามารถเอาไปสลับให้ตัวละครไหนก็ได้ ความสามารถและ Stats ก็จะติดไปกับมาเทเรียนี่แหละ
- ตัวละครในปาร์ตี้ถูกลดเหลือแค่ 3 ตัวเป็นครั้งแรก (ปกติ 4 ตลอด) คงเพื่อลดภาระการประมวลผลกราฟิกน่ะนะ
- ภาคนี้ถูกพอร์ตมาลง PC ขายทั่วโลกเป็นภาคแรก และผมก็ได้เล่นเพราะมันลง PC นี่แหละ แล้วพอลง PC ทีนี้ตลาดหนังสือเกมก็คึกคักเลย เพราะจากเดิมเป็นเกมฝั่งคอนโซลอย่างเดียว ตอนนี้คนทำหนังสือเกมฝั่ง PC ก็ได้ลงสนามด้วย ทำให้มีหนังสือบทสรุปหลากหลายมาก
- นี่เป็นหนังสือบทสรุปที่ผมชอบมากในตอนนั้น แต่พอเอามาอ่านอีกทีตอนนี้ รู้สึกเป็นบทสรุปที่ชวนหงุดหงิดมาก (ตอนนี้ชอบอ่านคู่มือชุมชนใน Steam มากกว่า) แถมพอมาดูอีกทีเขาชอบลงภาพประกอบไม่ตรงกับเหตุการณ์ในบทสรุปนี่หว่า 😑
- สมัยนั้นค่ายที่ทำนิตยสาร Gamemag จะออกหนังสือบทสรุป FF7 มาหลายรอบมาก ตั้งแต่เป็นคู่มือบาง ๆ มีแค่ข้อมูลตัวละคร บทสรุป กับตารางนิดหน่อย จนกลายเป็นคู่มือหน้าสีทั้งเล่มภาพประกอบจัดเต็มเผยความลับแผนที่ทุกฉาก (แน่นอนว่าเอาของญี่ปุ่นมาแปลดื้อ ๆ 😊) แล้วไอ้อันหลังนี่ก็ยังเอามาพิมพ์ซ้ำหลายรอบมาก ตั้งแต่เป็นเล่ม FF7 เดี่ยว ๆ เล่มรวมกับ FF8 (ภาพขวา) และสุดท้ายก็ปิดด้วยเล่มรวมทุกภาคถึงภาค 12 ไปเลย (เล่มซ้าย สังเกตว่าชื่อสำนักพิมพ์กับชื่อ Gamemag หายไปแล้ว) แล้วผมก็ยังตามเก็บนะ 😅 (มีทุกเล่มที่กล่าวมา แค่หาไม่เจอว่าเอาไปซุกไว้ตรงไหน)
- สมัยที่ลง PC มีร้านเกมส่งไปรษณียบัตรมาโฆษณาว่า "FF7 for PC ราคาเพียง 500 บาทเท่านั้น!" แผ่นก็อปฟันหมูน่ะสิ แต่จำได้ว่าซื้อพันธ์ุทิพย์ราคา 400 (3 แผ่นก็อป)
- สมัยที่ลง PC เกมรองรับแค่การ์ด 3DFX หรือไม่ก็ใช้ Software Render เท่านั้น แต่ตอนหลังก็มี Patch Nvidia ออกมา ทำให้ใช้การ์ดจอ Nvidia เล่นได้ (สมัยนั้นยังเป็น Riva128 กับ RivaTNT อยู่)
- เวอร์ชัน PC ถูกพอร์ตโดยค่าย EIDOS ซึ่งตอนนั้นยังไม่โดน SquareEnix งาบกิจการไป ใครจะไปนึกว่าพอร์ตเกมให้อยู่ดี ๆ ตอนหลังดันโดนงาบซะงั้น😅
- ผ่านมาหลายปีก็ออกเวอร์ชัน Steam ซึ่งตอนแรกก็ล็อคโซนไทย แต่พอ FF8 ออกเวอร์ชัน Steam บ้าง ก็ปลดล็อคให้ (แต่ภาค 3 4 5 6 ยังไม่ปลดจนบัดนี้🙄)
- ภาคนี้น่าจะเป็นภาคหลักที่ผมมีชั่วโมงเล่นสูงสุด เพราะเกมมีตัวนับเวลา และผมได้เห็นเลขเวลารันไปถึง 60 ชั่วโมงอยู่ 2 ครั้งในชีวิต บวกกับใน Steam ล่าสุดอีก 20 ชั่วโมง ก็ราว ๆ 140 ชั่วโมง
- แต่เล่นจบมั้ย? ไม่😁 เล่นไปถึงฉากที่ต้องลงไปตัดสินศึกสุดท้ายกับเซฟิรอธแล้ว แต่มั่นใจว่าเลเวลไม่พอ เลยกะเก็บเลเวลก่อน แล้วก็ขี้เกียจเก็บ จนหายไปกับกาลเวลา😂
Final Fantasy VIII ภาคนี้โคตรกดดัน
- มาเกือบถึงปลายทางแล้ว เพราะนี่เป็นภาคหลักภาคสุดท้ายที่ได้เล่น
- ตอน FF8 ออกมา เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดกราฟิกในยุคนั้นเลย ตัวละครที่เคยเป็น SD ตัวเตี้ยหัวโต กลับกลายเป็นตัวสูงตลอดเวลา ทั้งนอกและในฉากต่อสู้ แถมฉากเดินยังออกมาวิ่งกัน 3 คนเป็นครั้งแรกอีกด้วย (ยกเว้น World Map)
- เกมมีความใกล้เคียงยุคปัจจุบันมากขึ้น (แต่ล้ำไปนิดนึง) มีโรงเรียน มีระบบเงินเดือน (ตีมอนไม่ดร็อปเงินแล้ว) มีการสอบเลื่อนขั้น คาถาก็ต้องใช้เครื่องมือพิเศษดูดพลังเวทจากศัตรูหรือสภาพแวดล้อมมา เรียกว่าการ Draw (มีการเอ่ยถึงอุปกรณ์ Draw นี้ในเกม แต่ไม่เคยเห็นว่าหน้าตาเป็นยังไง)
- ศัตรูมีการเลเวลอัพตามเรา ซึ่งบางตัวถ้าปล่อยให้เลเวลสูงเกินไป อาจทำให้เกมยากกว่าที่คิดได้ เกมนี้จึงไม่เหมาะกับสไตล์การเล่นแบบโอ้เอ้ปั๊มเลเวล (จนเบื่อไปก่อนที่จะปราบบอส😅) ที่สำคัญถ้าทำอะไรเสียเวลามาก ๆ จะโดนลดขั้นลดเงินเดือนได้
- เงินเดือนที่ว่าคือ เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จะมีจำนวนเงินเดือนเด้งขึ้นมา นั่นคือได้เงินเดือน อยากได้งวดต่อไปก็ต้องรอให้ถึงเวลาที่เกมกำหนด
- ถ้าโดนลดขั้นจากคะแนนภาคปฏิบัติหรือจากพฤติกรรม เกมก็มีตัวช่วยคือระบบสอบข้อเขียนให้ใช้เลื่อนขั้นได้ มีโพยเฉลยมากมายในหนังสือบทสรุปและอินเทอร์เน็ต😂
- นอกจากต้องกลัวโดนลดขั้นจนเงินไม่พอใช้ กลัวศัตรูเลเวลสูงจนชนะไม่ได้ แล้ว ยังต้องระแวงอีกอย่างคือคาถาที่ Draw มา คือบางคาถาต้อง Draw จากตัวเฉพาะหรือตำแหน่งเฉพาะจริง ๆ เวลาจะใช้ก็ต้องมากลัวหมดอีก
- เกมมีระบบช่วยพัฒนาตัวละครอีกทางคือ GF หรือ Guardian Force ที่สามารถกดเชื่อมกับตัวละครและคาถาที่ Draw ได้ ทำให้ได้ค่าสเตตัสบางอย่างเพิ่ม นอกจากนี้ GF ยังเรียนรู้อบิลิตี้ใหม่ ๆ มาเสริมความสามารถได้อีก เป็นระบบที่เท่มาก ๆ (ถ้าโจโจ้เป็นเกม RPG ก็น่าจะมีระบบประมาณนี้แหละ 😁 เอาจริง ๆ มันก็เคยเป็นเกม RPG มาแล้วนะ)
- เป็น FF ภาคแรกที่มีเพลงร้องอย่างเป็นทางการ คือ Eye on me ซึ่งเพลงดังทะลุเกมมาก ขนาดอัลบั้มรวมฮิตเพลงสากลในบ้านเรายังเคยเอาไปรวมไว้
- เวอร์ชัน PC ใครพอร์ตไม่รู้ แต่จัดจำหน่ายโดย EA และมีแผ่นลิขสิทธิ์ขายในไทยด้วย (FF7 PC ก็มีแผ่นลิขสิทธิ์ขายในไทยนะ)
- แล้วมันก็มีปัญหากับการ์ดจอ Nvidia อีกจนได้ คราวนี้เป็นปัญหาเกลี่ยสีไม่เรียบและฉากแตกเป็นแผ่นกระเบื้อง แต่ EA ก็ออก Patch มานะ ตอนแรกก็มีเว็บให้โหลดดี ๆ แต่ตอนหลังต้องไปขุดหาเอาเองใน FTP ของ EA
- ภาคนี้ก็ออกเวอร์ชัน Steam ตามภาค 7 มาติด ๆ แต่มีจุดนึงที่ขัดใจมาก คือชื่อปุ่มที่ขึ้นในเมนูและเหตุการณ์ต่าง ๆ ถ้าใช้จอยเล่นมันจะขึ้นเป็นปุ่ม B1 B2 B3 B4 B5 ... ซึ่งจำยากมากว่าตรงกับปุ่มไหนบนจอย (โดยเฉพาะคนใช้จอย Xbox หรือ PS4) ครั้นจะขยับไปกดคีย์บอร์ด มันก็ขึ้นปุ่มเป็น X C V A S D ซึ่งจำยากอยู่ดี ผิดกับภาค 7 ที่ชื่อปุ่มจะขึ้นเป็นหน้าที่ เช่น OK Cancel Menu Switch ทำให้จำง่ายกว่า ก็เข้าใจว่าเพราะวัตถุดิบมีไม่พอให้ขยายช่องแสดงปุ่มที่แคบเกินไป
- แต่ปัญหาเรื่องปุ่มขึ้นไม่ตรงจอยก็แก้แล้วใน FF8 Remastered ที่เพิ่งออกไปไม่นานนี้ ... มันจะติดก็ตรงราคานี่แหละ😅
- จุดหนึ่งที่ FF8 Steam ตัวก่อนหน้าดีกว่า Remastered คือ มีตัวเลือกให้กลับไปใช้ Original Graphic คือกลับไปหยัก ๆ ทั้งฉากหลัง โมเดล เท็กซ์เจอร์ แบบไม่มีอาการภาพโดดขัดตาแน่นอน 🤗
- ภาคนี้เล่นไปถึงช่วงที่ได้ "สิ่งที่ดูคล้ายจะเป็นเรือเหาะ" ครั้งแรก ซึ่งสมัยที่เล่นแผ่นเถื่อนกับตอนเล่นใน Steam ก็มาค้างอยู่ตรงนี้เท่ากันเลย😄
Final Fantasy ภาคอื่น ๆ
- ความทรงจำในอดีตก็จบที่ภาค 8 นั่นแหละ แล้วทำไมไม่ได้เล่นภาคหลัง ๆ อันนี้เป็นปัญหาทางเทคนิคหลาย ๆ อย่าง 😄
- ภาค 9 นี่อยากลองเล่นนะ แถมได้ข่าวว่าเวอร์ชัน Steam พอร์ตมาค่อนข้างโอเค แต่ที่ไม่โอเคคือ "ราคา" แต่ก่อนยังเห็นลดบ้างแม้จะลดไม่เยอะ แต่เดี๋ยวนี้พี่แควร์แกไม่ลดเลย ตอนเขียนนี่ก็ลด FF ทุกภาค ยกเว้นภาค 9 กับ 8 (ทั้งอันเก่าและรีมาสเตอร์ 😀) คือเห็นช่วงไหนรู้ว่าคนจะแห่ซื้อภาคไหนเยอะ ก็ไม่ลดซะงั้นน่ะ
- ภาค XIII อันนี้ลดเยอะ แต่ติดอย่างเดียว คือ ขนาดมันใหญ่มากกกกกก 60 GB แน่ะ คือยอมสุด ๆ ได้แค่ 30 GB แค่นั้นแหละ และต้องเป็นเกมที่ชอบมาก ๆ ถึงจะยอม
- X/X-2 ไม่ค่อยสนใจ ส่วน XII นี่ทั้งแพงทั้งใหญ่ทั้งไม่อยากเล่น ครบเลย 😊
- XV อยากเล่นนะ แต่ตายที่สเป็คเครื่อง (และขนาด 100 GB)
- พวกภาคข้างเคียงทั้งหลาย มีอยู่ภาคนึงที่ชอบมากและอยากให้พอร์ตมาขายใหม่สุด ๆ คือ Final Fantasy The 4 Heroes of Light ที่ลง NDS ซึ่งเป็นภาคที่ปรับให้ทุกอย่างมัน Minimal และ Simple สุด ๆ แต่ก็กลายเป็นยากสุด ๆ เช่นกัน เพราะช่องเก็บของมีจำกัด (มาก) ต้องบริหารดี ๆ มีระบบอาชีพที่ง่าย ๆ แค่เปลี่ยนหมวก การต่อสู้เป็น Turn base ธรรมดา แต่ใช้ระบบ Action Point ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ แทน MP (โจมตีหรือใช้ไอเท็มก็ต้องใช้) ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะโจมตีตัวไหน วัดดวงและบริหาร AP กันสุด ๆ ความยากในความเหมือนจะแคชชวลนี่แหละ ทำให้ทุกอย่างของเกมนี้มันโดนใจมาก ๆ ปัจจุบันเกมนี้ก็มีผู้สืบทอดแล้ว คือเกมซีรี่ส์ Bravely Default นั่นเอง
- ทุกวันนี้ (ย้ำว่า "ทุกวัน" จริง ๆ) ก็เล่น Final Fantasy อยู่ภาคนึง นั่นคือ Mobius Final Fantasy ซึ่งเป็นเกมมือถือมาก่อน ตอนหลังถึงขยายมาบนสตีมด้วย เป็นเกมเล่นฟรี หมุนกาชา ซึ่งไม่เกลือเท่าไหร่ (แค่ไม่ได้จ็อบที่ชอบแค่นั้น แต่เกมก็มีโอกาสพิเศษที่ทำให้ได้จ็อบง่าย ๆ มาบ่อย ๆ แค่ต้องอดทนรอนิด)
- ตอนแรกผมเล่นเกมนี้ตั้งแต่เปิดตัวใหม่ ๆ ปี 2017 แต่เพราะระบบผิดพลาดทำให้หลุดไปอยู่ใน server เกาหลี ซึ่งเพิ่งปิดไปเมื่อต้นปี 2019 นี้ (เกมจะเลือก server ให้เองตามภูมิภาค เลือกเองไม่ได้ และทาง SE ก็แจ้งเตือนในฟอรั่มล่วงหน้านานเป็นปีแล้วว่า ให้คนที่หลงเข้าไปอยู่ในเซิร์ฟเกาหลีรีบย้ายออก) ทางเดียวที่จะเล่นเกมนี้ต่อได้ คือต้องลบการเชื่อมต่อเซฟเก่าจากสตีม โดยการลบเกมออกจากบัญชีไปเลย (ไม่ใช่ Uninstall นะ ต้องไปลบในประวัติการซื้อ) แล้วไปโหลดมาติดตั้งใหม่ (ถ้าข้อมูลเดิมยังอยู่ ไม่ต้องโหลดใหม่หมด) แน่นอนว่าพอเริ่มมามันก็จะเป็น server ใหม่ ไม่มีข้อมูลการเล่นใด ๆ อือ นี่แหละเล่นต่อได้ แต่แค่ได้เล่นเกมนี้ต่อ ไม่ใช่ต่อจากเดิม😂
- อย่างไรก็ดี ตัวเกมมีระบบช่วยเหลือคนมาเล่นทีหลังดีมาก ทั้งสิทธิ์ในการไขตู้ Starter 5 ครั้ง แบบได้จ็อบเทพ ๆ พร้อมอบิลิตี้การ์ดตรงสายของจ็อบแน่นอน มี Novice Hall เป็น Tutorial แล้วจะได้จ็อบกับของอัพจ็อบมากมาย และ Story Digest ที่ให้คนมาทีหลังได้เล่นสรุปเนื้อเรื่องภาค 1 (เกมมี 2 ภาค เล่นสลับข้ามไปมาได้) ซึ่งถ้าเล่นจบก็จะได้ของเยอะพอตั้งตัวได้เลย (ตอนนี้ผมเทพกว่าสมัยอยู่เซิร์ฟเกาหลีอีก เล่นมายังไม่ถึงครึ่งปีเลย 😆)
- เกมนี้ตอนแรกไม่ค่อยมีคนอยากเล่น เพราะตัวละครมีตัวเดียว เป็นชายฉกรรจ์ที่ชอบใส่ชุดเปิดอกแหวกหลัง มีเพียงการเปลี่ยนชุดของ Echo ที่ช่วยเยียวยาจิตใจ😅 (มีชุดใหม่ให้เอาตั๋วมาแลกทุกเดือน หมดเดือนก็จะหายไปจากร้าน วนชุดอื่นมาแทน) แต่หลัง ๆ มีตัวหญิงมาให้เลือกถึง 3 คนแล้วนะ
- ปัจจุบันขณะเขียน Mobius Final Fantasy เป็นเกมที่ผมมีชั่วโมงการเล่นสูงสุดใน Steam คือ 250 ชั่วโมง (ไม่ใช่เล่นข้ามวันข้ามคืนนะ เก็บทีละนิดละหน่อยเป็นปี ๆ 😄) แต่ก็แค่เล่นพวกอีเวนท์ เนื้อเรื่องหลัก ไม่ได้เล่นพวก Challenge หรือ Multiplayer นะ
ส่งท้าย
ก็จบเอ็นทรี่ Final Fantasy แสนยาวยืดยาดแต่เพียงเท่านี้ ถ้าใครทนอ่านแล้วรู้สึกว่าผมน่าจะลืมพูดถึงเรื่องอะไรก็บอกได้นะ เท่าที่เขียนมา ก็รู้ตัวว่าไม่ใช่แฟนเหนียวหนึบของ Final Fantasy เท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นแฟนตัวจริงแล้วมาเขียนแบบนี้ น่าจะยาวจนพิมพ์หนังสือได้เล่มนึง🤣
สวัสดี😎
เป็นคนที่ไม่เคยเล่นเกม Final Fantasy เลยสักภาค
ตอบลบภาคที่เคยจับ ๆ บ้าง ก็น่าจะเป็นภาค 4 ที่เป็นภาษาไทย
ตอนนั้นนับว่าเป็นอะไรที่รู้สึกแปลกใจมาก ๆ ที่มีภาษาไทยในเกม
น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นเกมเป็นภาษาไทย
ลองกดปุ่มให้ตัวละครเดินไปเดินมาบนแผนที่ สัก 2 - 3 นาที (ถ้าจำไม่ผิด)
แบบนี้คงไม่นับว่าเคยเล่น
สรุปว่าไม่เคยเล่นสักภาค และไม่รู้จักเกมไฟนอลแฟนตาซี
-------------------
จนกระทั่งมีโอกาสในเห็นภาพสีเกมไฟนอลแฟนตาซีภาค 7
บนหนังสือเกมภาษาญี่ปุ่นมือสอง ตีพิมพ์ประมาณ 3-4 หน้า
แล้วก็แค่นั้น ประสบการณ์เกมไฟนอลแฟนตาซี 7
แต่รู้ว่าเกมนี้มันดังมาก
------------------
ถ้าจะบอกว่าคุ้นเคยกับไฟนอลแฟนตาซีมากที่สุดน่าจะเป็นภาค 8
เพราะมีโอกาสได้ซึ้งจนน้ำตาตกใน กับมิวสิกวีดีโอเพลง Eyes on me
ดูซ้ำไป ซ้ำมาไม่รู้เบื่อ
ทุกวันนี้ (ค.ศ. 2019) ก็ยังดู
ขนาดว่าเกมออกมาตั้งกี่ปีแล้วก็ไม่รู้
เดี๋ยวเขียนความเห็นนี้เสร็จ ก็จะดูอีกรอบ
แต่ก็ยังไม่เคยได้เล่น
------------------------------
หลังจากนั้น เริ่มรู้สึกประหลาดใจกับภาคหลัง ๆ
ไฟนอลแฟนตาซี มันเหมือนจะมีบรรยากาศเป็นเทคโนโลยีมากขึ้น
ไม่มีบรรยากาศแบบยุคกลางตามความเข้าใจของตัวเอง
เลยรู้สึกยิ่งห่าง ๆ
(จะว่าไปบรรยากาศแบบเทคโนโลยีก็เห็นตั้งแต่ภาค 7 แล้วนี่นา)
-----------------------------
คิดไปคิดมา
น่าจะหามาเล่นสักภาค จะได้คุยว่า "เคยเล่นไฟนอลแฟนตาซีแล้วนะ" กับเขาบ้าง
ปล. ชุดสะสมตลับขาวสวยมาก