ความทรงจำกับเกม FPS

หลังจากปีก่อน ๆ เขียนความทรงจำเกี่ยวกับเกมแนวที่ชอบไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น โปเกม่อน ร็อคแมน ไฟนอลแฟนตาซี หรือ Diablo   มาปีนี้ขอเขียนความทรงจำกับเกมแนวที่ไม่ค่อยเล่นบ้างละกัน

จริง ๆ อยากถ่ายรูปกล่องเกม Half-Life ที่เป็นกล่องเกม FPS เกมเดียวที่มี มาทำเป็นหน้าปก แต่ปัญหาคือไม่รู้มันไปอยู่ไหน😅 เพราะค่อนข้างวางทิ้งขว้างพอสมควร แล้วนอกจากกล่องเกมนั่นก็ไม่มีหนังสือคู่มือเกม FPS อื่นใดอีก (จริง ๆ ก็มีคู่มือ HL Blue Shift ของเกมแม็กอยู่นะ เพราะตอนนั้นเกมแม็กออกอะไรมาก็ซื้อหมด😄 แต่มันก็หาไม่เจอเหมือนกันแหละ) เลยเปลี่ยนแผนมาไล่ดูเกม FPS ใน Steam เออ มันก็พอเก่าได้ที่เหมือนกัน งั้นเอาอันนี้แหละ

สำหรับเอ็นทรี่นี้ก็จะขอเน้นเฉพาะตัวหนังสือ รูปประกอบไม่เน้นนะ แต่ตอนหลังถ้ากลับไปเล่นเกมพวกนี้อีกก็อาจแคปรูปมาใส่เพิ่มบ้าง แต่จะมีคนกลับมาอ่านรึเปล่า😄


ทำไมไม่ชอบเกม FPS?

จริง ๆ ก็คือไม่ได้ไม่ชอบเกมแนว FPS แต่มันแค่ไม่ใช่แนวโปรด เพราะสมัยก่อนเป็นสายชอบเล่นเกมด้วยจอย และเกมที่ชอบก็เป็นแนวที่เราเห็นตัวละครที่เราบังคับทั้งตัวมากกว่า  แต่ FPS มันก็มีเสน่ห์ดึงดูดตรงที่เหมือนเราเข้าไปอยู่ในนั้นจริง ๆ เพราะมุมกล้องมันแทนสายตาของเรา ยิ่งมีระบบเสียงแบบสามมิติสมจริง (ผมยังประทับใจเสียงปลาแทะหูใน Half-Life ไม่หาย😄) มันยิ่งอินเข้าไปอีก แต่ปัญหามันจะอยู่ที่เวลาเราต้องกระโดดข้ามนั่นนี่ เดินบนพื้นแคบ ๆ ค้นหาทางออก โดนรุม เกม FPS นี่มันจะอึดอัดมาก  ทั้งนี้ผมไม่มีปัญหาเรื่อง motion sickness นะ

และอีกอย่างที่ทำให้เริ่มไม่สนใจ FPS คือ ยุคนึงเกมออกมาในธีมเดิม ๆ มากเกินไป แบบว่าเน้นทหารเน้นสงครามแบบสมจริงนั่นแหละ ศัตรูก็เหลือแต่ตัวละครที่เป็นคน บวกกับการที่เกมเริ่มเน้นโหมดมัลติเพลเยอร์ ช่วงนั้นความสนใจเกม FPS ก็เลยหายไป

แต่ก็ยังพอมีเส้นทางการเล่นเกม FPS มาเล่าให้ฟัง (จริง ๆ เก็บไว้อ่านเองก่อนจะลืม) อยู่บ้าง เพียงแต่เตือนไว้ว่าเนื้อหาอาจจะไม่เติมเต็มให้คนที่ชอบ FPS มาตลอดจนถึงปัจจุบันเท่าไหร่ ทำใจไว้ด้วย😊



เกม FPS เกมแรกที่เล่น Wolfenstein 3D

ถ้าพูดถึงเกม FPS เกมแรก ใคร ๆ ก็คงนึกถึงเกมนี้ ซึ่งจริง ๆ เหมือนจะมีเกมอื่นมาก่อน แต่เกมนี้มันดังสุดแหละ สมัยนั้นช่วงยุคเครื่อง 486, DOS 6.2, Windows 3.1 ถ้าที่ไหนมีคอมพิวเตอร์ (ต้องจอ VGA 256 สีขึ้นไปนะ) ก็ต้องมีเกมนี้  และตอนที่ผมซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ช่างก็ลงเกมนี้มาให้เรียบร้อย ไม่ต้องไปหาที่ไหน แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยเล่นที่โรงเรียนมาบ้างแล้ว (ไปหามาจากไหนหว่า ตอนนั้นคอมโรงเรียนไม่มีฮาร์ดดิสก์😅) 

ความทรงจำที่มีกับเกมนี้ก็ เป็นเกมเล่นเรื่อย ๆ ไถกำแพงหาประตูลับไปเรื่อย ๆ เก็บของ ยิงหมา ยิงคน การควบคุมสามารถใช้คีย์บอร์ดล้วน ๆ ได้ แต่ถ้าใช้เม้าส์จะมีวิธีควบคุมแปลก ๆ คือ จะเดินหน้าก็ต้องไถเม้าส์ไปข้างหน้า ไถสุดก็ยกเม้าส์กลับแล้วไถใหม่ เหมือนเล่นรถของเล่นเลย😄  ตัวเกมมีสูตรพลังเต็ม อาวุธครบ (จำไม่ได้ว่าอมตะด้วยรึเปล่า) คือกด I+L+M สามปุ่มพร้อมกันบนคีย์บอร์ด แต่ถ้ากดแล้วต้องแลกเปลี่ยนด้วยคะแนนทั้งหมด (ใช่ เกมนี้ยังมีระบบคะแนนอยู่)

ปีนี้ (2024) ผมได้ลองเล่นเกมนี้อีกครั้งใน PC Game Pass แต่มันมีบั๊กบางอย่างทำให้พอกดเข้าเกมแล้วขึ้นคำถามยืนยันว่าจะออกจากเกมใช่มั้ย โดยมันจะสุ่มคำถามขึ้นมาเหมือนเป็นมุก แต่ไม่ว่าจะตอบยังไงก็เข้าเกมไม่ได้ซะที สุดท้ายก็ไม่ได้รำลึกความหลังใด ๆ  (จริง ๆ ก็ไปหาแบบที่เป็น DOS จำลองให้เล่นบนเว็บได้นะ แต่มันไม่ถูกลิขสิทธิ์)



Bram Stoker’s Dracula ใช่เกม FPS เหรอ?

เมื่อกี้เป็น FPS เกมแรกที่เล่น งั้นอันนี้ก็คือเกม FPS เกมแรกที่ซื้อ แน่นอนว่าของก็อป โดยยุคนั้นผมยังไม่เคยไปพันธุ์ทิพย์ แต่ไปเจอโฆษณาขายเกมในนิตยสารเกม PC เล่มนึง โฆษณานั้นจะไม่มีภาพเกมหรือคำอธิบายให้ดู มีแค่ตารางรายชื่อเกม จำนวนแผ่น และราคาให้ดูเท่านั้น ผมก็สั่งมา 2 เกมคือ The Lost Vikings ที่พอจะรู้จักอยู่แล้ว (ตอนหลังมารู้ว่าเป็นเกมที่พัฒนาโดย Blizzard ที่ทำเกม Diablo นั่นเอง) และอีกเกมคือเกมที่เขียนว่า Dracula .... ใช่ครับ ผมนึกว่ามันคือเกม Castlevania หรือที่รู้จักกันว่าเกมแส้นั่นแหละ😅 

แต่พอได้มาเปิดเล่นก็อิหยังฟะ เป็นเกมที่เริ่มมาก็ปล่อยเราไว้ที่ป่ารอบ ๆ ปราสาท มุมมองของเกมแคบมาก ๆ UI กินพื้นที่เยอะเว่อ ข้างล่างมีช่องเก็บไอเท็มที่ดูแล้วเหมือนพวกเกม Point and Click มากกว่า  การเคลื่อนไหวในเกมค่อนข้างช้า ศัตรูก็ช้า กระสุนก็น้อยโคตร ๆ ให้มาทีละ 10 นัด แล้วเกมเริ่มมาแบบไม่บอกอะไรเรา ให้ไปคลำทางเอาเอง แผนที่ก็ไม่มีนะ หลัก ๆ ก็หาทางเข้าปราสาทก่อน คุ้น ๆ ว่าตอนนั้นใช้เวลาหลายเดือนเหมือนกันกว่าจะหาทางเข้าไปได้😄 เข้าไปแล้วยิ่งงงกว่าเดิมอีก สรุปก็เล่นไม่จบล่ะนะ ใครสนใจมีเว็บทำมาให้เล่นออนไลน์อยู่ เอาชื่อไปหาได้ อย่าลืมเติมคำว่า DOS ต่อท้าย



Doom (รอบแรก)

กับเกมในตำนานอย่าง Doom นี้ ความรู้สึกเหมือนเคยเล่นมาหลากหลายมาก แต่พอได้เล่น Doom กับ Doom 2 แบบเต็ม ๆ ในปีที่แล้ว (2023) ก็พบว่าผมไม่เคยเล่น Doom สองภาคแรกนี้มาก่อน แต่ไอ้ที่ได้เล่นในยุคนั้นคือ Final Doom เพราะจำได้ว่าฉากแรกจะมีไอเท็มที่เก็บแล้วเลือดขึ้นหน้าเข้าโหมดชกแหลก และเหมือนผมจะเล่นจนจบด้วย (ด้วยสูตรทั้งอมตะ ของครบ และสูตรข้ามด่าน) นอกนั้นก็อาจได้เล่นพวก Mod ที่นิตยสาร Future Gamer ชอบแถมมากับแผ่น CD นิด ๆ หน่อย ๆ

และก็มีโอกาสได้ลอง Doom95 ที่ตอนนั้นเขาจะให้มาแค่ตัวโปรแกรม ต้องไปหาไฟล์ WAD มาเอง ก็ไปเอาจาก Final Doom นั่นแหละมาเล่น ตอนเล่นมันก็ขึ้นมาเป็นหน้าต่างเล็ก ๆ เหมือนให้รู้ว่าเล่นบนวินโดวส์อยู่นะ  ผู้พัฒนา Doom95 นั้นปัจจุบันก็มาเป็นผู้ก่อตั้ง Valve ที่เป็นเจ้าของ Steam นั่นเอง 

Doom นี่หลายคนจะมีภาพจำเป็นเกมยิงแหลกไม่ต้องคิดอะไร ซึ่งผมก็จำได้แบบนั้น แต่พอกลับไปเล่นดู นี่มันโคตร Puzzle เลยนี่หว่า คือหลัก ๆ เราก็ต้องหาทางออกจากด่านซึ่งก็ต้องหาคีย์การ์ด 3 สี แดง เหลือง น้ำเงิน (บางด่านก็ไม่ต้องใช้ครบ 3 สี หรืออาจไม่ใช้เลย เช่น ด่านบอส) และบางฉากต้องใช้การกระโดดทั้ง ๆ ที่เกมนี้มันกระโดดไม่ได้! โดยจะใช้การวิ่งทะยานออกจากแพลตฟอร์มนึงไปอีกแพลตฟอร์มนึงที่อยู่ต่ำกว่าหรืออยู่ในระดับเดียวกัน (คล้าย ๆ ที่มาริโอ้วิ่งข้ามเหวขนาด 1 บล็อคได้นั่นแหละ) 



Duke Nukem 3D 

ตอนที่ Duke Nukem 3D ออกมา มันเป็นมิติใหม่ของวงการเกมมาก ๆ เพราะย้อนกลับไปเกมก่อนหน้าอย่าง Doom ฉากในเกมจะเป็นได้แค่ฉากในเกมจริง ๆ มันไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างที่ใครจะไปอาศัยอยู่ แต่ DN3D มันมาเป็นเมือง มีตึก มีดาดฟ้า มีถังขยะ มีโรงหนัง มีส้วม ฯลฯ  พร้อมทั้งมีผู้คน (รู้สึกจะมีแต่สาว ๆ) ให้เราไปช่วย (ใน Doom นี่ก็มีคน แต่ไม่รอดสักคน...) และที่สำคัญเกมนี้สามารถก้มเงยได้แล้ว ทำให้มิติการเล่นดูตื่นตาตื่นใจมากในยุคนั้น

และก็เหมือน Doom ตรงที่เกมเปิดให้ผู้คนสามารถสร้างฉากเองได้ ซึ่งผมก็ได้ลองเล่นฉากคัสต้อมพวกนี้พอสมควร จำได้ว่ามีฉากนึงมีการสร้างรถไฟแบบแล่นตามรางได้จริงขึ้นมา ซึ่งมันก็หน้าตาไม่เหมือนรถไฟนะ เพราะเป็นการเอาออบเจ็คของฉากนั่นแหละ มาแปะ ๆ กันเป็นรถไฟแบบเปิดประทุน แต่ตอนนั้นแบบว่าสุดยอดมาก เพราะเกมต้นฉบับยังไม่มีของแบบนี้เลย แต่คนเล่นกลับสร้างขึ้นมาได้

ปัจจุบัน Duke Nukem 3D ก็มีเวอร์ชั่นปรับปรุงแต่กราฟิกคงเดิมขายบน Steam อยู่นะ ตอนลดราคาไม่ถึง 100 บาท ใครสนใจก็รอสอยตามเทศกาล



Quake รอบแรก เกมที่ได้แตะจี๋งนึง

แม้ Wolfenstein 3D, Doom และ Duke Nukem 3D จะอยู่ในความทรงจำของคนไทยที่ได้เล่นเกม PC ในยุคนั้นจำนวนมาก  แต่ Quake กลับไม่ค่อยเห็นคนไทยพูดถึงกันเท่าไหร่ ผมเองก็ได้ลองเล่นแค่นิดเดียวจากเดโม่ที่แถมมากับนิตยสาร ที่ได้เล่นนิดเดียวไม่ใช่ว่าเดโม่มันสั้นกุดอะไร เดโม่มันเล่นได้จนจบ 1 Episode เลยแหละ แต่ที่เล่นได้นิดเดียวเพราะเกมมันอืดมาก... แทบจะเป็น 3 - 5 เฟรมต่อวิเลยในตอนนั้น สิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้ตอนนั้นคือ มีสะพานให้ข้าม แล้วก็เลิกเล่นตรงนั้น

เกม Quake นี้เป็นเกมที่ใช้กราฟิกแบบ 3D แท้ ๆ เต็มรูปแบบ แม้แต่ศัตรูก็เป็นโมเดล 3D  ทำให้มันใช้สเป็คสูงขึ้นกว่าเกมก่อนหน้ามาก และยุคแรก ๆ น่าจะใช้ CPU เร็นเดอร์ล้วน ๆ ด้วย  ดังนั้นเหล่าคนที่มีแค่ 486 ซึ่งมีอยู่มากมายในยุคนั้นก็คงได้แต่มองตาปริบ ๆ  คนจะเล่นได้ต้องใช้เพนเที่ยม

และเพราะกำลังมีเกมที่พัฒนาต่อยอดจากเอ็นจินของ Quake แบบก้าวกระโดดตามมาในอีกไม่นาน ความสนใจเลยพุ่งไปทางนั้นมากกว่า นั่นคือ Half-Life นั่นเอง 



คั่นด้วย Unreal นิดนึง

ก่อนหน้าที่ทุกคนจะรู้จักมันในฐานะเอ็นจินเกม มันก็เป็นชื่อเกมมาก่อน และเกม Unreal ก็ใช้ Unreal Engine นี่แหละ Unreal Engine ถึงได้ชื่อว่า Unreal Engine

ตอนนั้นจำได้ดีว่าผมมีคอมเครื่องใหม่ที่มีการ์ดจอรุ่นแรก ๆ ของ Nvidia นามว่า Riva 128ZX แล้ว และเกม  Unreal นี้ก็มากับแผ่นที่แถมมากับฮาร์ดแวร์อะไรสักอย่าง เดาว่าเป็นเมนบอร์ดมั้ง ที่ไม่ใช่การ์ดจอเพราะว่าการ์ดจอมันไม่รองรับน่ะสิ  พอเปิดเล่น Unreal จะขึ้นมาแจ้งว่าการ์ดจอของคุณประสิทธิภาพไม่พอ แล้วสลับเป็นโหมด Software Render คือใช้ CPU ประมวลผลกราฟิกแทนนั่นแหละ  ทำให้ตอนนั้นจำฝังใจเลยว่า CPU เราแรงกว่าการ์ดจออีกเนี่ย

แต่เนื้อหาของ Unreal ผมก็จำไม่ได้ว่ามันมีตัวอะไรให้ยิง เออ ตกลงเราต้องยิงอะไรฟระ แล้วต้องไปไหน สรุปก็เหมือนไม่ได้เล่นนั่นแหละ  



Half-Life และ Counter-Strike

จุดเริ่มต้นการได้เล่น Half-Life น่าจะเป็นการเล่นเดโม่ ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่ามีเดโม่รึเปล่า แต่ที่แน่ ๆ ผมเคยเล่นมาก่อนจะได้เกมตัวเต็ม และจัดเป็นเกม FPS เกมแรกที่ซื้อมาแบบถูกลิขสิทธิ์ ซึ่งจริง ๆ ตอนนั้นผมไม่สนใจจะซื้อมาเล่นเท่าไหร่ แต่เพื่อนคนนึงที่ชอบ Counter-Strike มาก เขาอยากให้ผมมาเล่น Counter-Strike ด้วยมาก ๆ แต่ผมเป็นพวกไม่เล่นเกมตามร้าน ยากที่จะได้ฝึกฝีมือก่อนนัดเล่นจริง (สมัยนั้นไม่มีเล่นผ่านเน็ตแบบทุกวันนี้นะครับ หรือถ้ามีเน็ตตามบ้านก็แรงไม่พอ ต้องเล่นที่ร้านแบบ LAN กันเท่านั้น) แล้วเพื่อนคนนั้นก็เลย... สั่งแผ่น Half-Life ของแท้ให้ผมซะเลย (แต่ผมก็จ่ายเงินคืนเขาในภายหลังนะ รู้สึกตอนนั้นจะราคา 800 บาท)  

Half-Life ตอนนั้นเป็นเกมที่ตื่นตาตื่นใจมาก จากที่ผมเคยตื่นเต้นที่เคยมีคนม็อดฉากสร้างรถไฟใน Duke Nukem 3D มาเกมนี้มีรถไฟให้นั่งตั้งแต่ต้นเลย แล้วการนั่งรถไฟนี่แหละที่แสดงให้เห็นว่าฉากเกมนี้กว้างใหญ่โคตร ๆ ศัตรูก็ออกแบบดี มีพวกตัวใหญ่ ๆ ด้วย เกมดำเนินเรื่องเหมือนเราเป็นตัวละครในหนัง มีสถานการณ์เกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องไหลตามไปเรื่อย ๆ  และผมก็เล่นจนจบ... แบบใช้สูตรอมตะ

แล้ววันดวล Counter-Strike ก็มาถึงแบบไม่ได้ตั้งใจ คือเพื่อนก็อยากให้เช่าเล่นร้านเกมสักวัน แต่ผมไม่อยากเล่นตามร้านเกมไง แต่จู่ ๆ ตอนนั้นโรงเรียนมีจัดงานนิทรรศการให้นักเรียนมาเปิดบูธ แล้วดันมีคนทำบูธ Counter-Strike ซะงั้นน่ะ ก็เลยเข้าไปเช่าเล่น 30 นาที  ผมยิงไป 12+ คิล โดยหลักการเหมือนตอนเล่นคูนิโอะรวมกีฬา คือดักตรงที่ทุกคนผ่านแล้วสอยซะ คือทำตัวเป็นสไนเปอร์นั่นแหละ (แอบทึ่งตัวเองเหมือนกันว่าทำไม 30 นาทีถึงเรียนรู้ว่าปืนไหนเหมาะได้เร็วขนาดนั้น ปืนก็ไม่เหมือนใน Half-Life นะ ไหนจะหาจุดดักยิงได้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเล่น) และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้เล่น Counter-Strike



Half-Life 2

หลังจาก Half-Life ภาคแรก ก็เหมือนจะห่างหายจากเกม FPS ไปพักใหญ่ ๆ  แต่ช่วงนั้นก็มีสิ่งที่มาเปลี่ยนวงการเกมไปตลอดกาลเกิดขึ้นแล้ว มันคือ Steam โดยตอนนั้น Steam โดนด่าเละเพราะถูกมองว่าเป็นความยุ่งยากในการติดตั้งเกม เพราะอุตส่าห์ซื้อแผ่นเกมมาแล้วทำไมต้องต่อเน็ตดาวน์โหลดเกมเพิ่มอีก แถมขนาดไม่ใช่เล็ก ๆ ในตอนนั้น เพราะล่อไปเป็นกิ๊ก และเกมแรกที่ใช้ระบบ Steam ก็คือ Half-Life 2

ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าคงมีแต่ Half-Life 2 ที่สร้างความลำบากแบบนี้ แต่ที่ไหนได้ ตอนหลังแม้แต่เกมของ EA ก็เอาด้วย จนวันนึงผมเห็นกล่องเกม PC ที่ในกล่องไม่มีแผ่น CD ใด ๆ มีแค่การ์ดที่มีโค้ดสำหรับรีดีมเกมบน Steam เท่านั้น และทุกวันนี้ Steam ก็เติบโตจนคนไม่ต้องซื้อกล่องเกมกันอีกต่อไป....

แต่กว่าจะได้เล่น Half-Life 2 ก็ตอนที่ผมเข้าสู่วงการ Steam แล้วพักนึง คือ 5 เดือนหลังจากเข้าสู่ Steam ในปี 2011 โดยตอนนั้นเป็น Winter Sale ครั้งแรกของผม เกมลดราคาเหลือราว ๆ 80 บาท (ตอนนั้น Steam ยังไม่มีเงินบาท) ความรู้สึกตอนนั้นคือ มันเป็นเกมที่มีคนมาไล่ล่าเราแล้วเราต้องหนีไปเรื่อย ๆ แต่ระหว่างหนีมันก็มีการดำเนินเนื่องเรื่องไปด้วยแบบแนบเนียน  ผมเล่นไปจนถึงตอนที่ให้ขับเรือโฮเวอร์คราฟต์หนี แล้วก็เบนความสนใจไปอย่างอื่นซะก่อน  ตอนหลังผมงัดกลับมาเล่นใหม่เมื่อปีที่แล้ว (2023)  ก็พบว่า เฮ้ย เมื่อก่อนมันมีอันนี้ด้วยเหรอ? ตัวอย่างเช่น ฉากรถไฟ ฉากที่มีคนคอยชี้ทางไปต่อให้เราเป็นระยะ ๆ  ตอนเล่นสมัยนู้นนี่เหมือนหลับหูหลับตาเล่นไม่เก็บรายละเอียดยังไงไม่รู้

จริง ๆ ผมซื้อ HL2 Episode One กับ Episode Two มาด้วย แต่ก็ไม่ได้เล่นเพราะ HL2 ภาคหลักยังไม่จบ และในชุดเหมือนจะมีเกม Portal และ Team Fortress 2 ติดมาด้วย  ซึ่ง 2 เกมหลังนี่ลองเล่นนิดหน่อย



Team Fortress 2 จุดจบชีวิตการเล่นมัลติ

วันนึงผมก็นั่งนึกถึงความสำเร็จในวันวาน วันที่เล่น Counter-Strike 30 นาที 12+ คิล นั่น แล้วก็รู้สึกว่าลองกลับไปเล่น FPS แบบมัลติเพลเยอร์ดูสักทีดีกว่า แล้วตอนนั้นมี Team Fortress 2 อยู่พอดี ภาพเป็นแนวการ์ตูนแบบที่ชอบด้วย ลองเข้าไปเล่นดูหน่อยละกัน ตอนแรกก็เล่น Tutorial ไปเรื่อย เออดี ๆ ใช้ได้ ๆ ไปไหวแน่ แต่พอเข้าเกมจริงเท่านั้นแหละ ทันทีที่โผล่หน้าออกจากฐาน ผมก็ตายทันทีแล้วก็เกิดใหม่ และพอจะออกไปนอกฐานอีก ก็ตายแล้วเกิดอีก วนลูปไปแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน

จากวันนั้นก็ทำให้ไม่อยากเล่น FPS แบบมัลติอีกเลย 



Borderlands 2 

เกมนี้ไม่ได้ซื้อเพราะมันเป็น FPS แต่ซื้อเพราะมันมีความเป็น RPG แบบ Diablo คือมีของดร็อปแบบสุ่มคุณสมบัติ มีอัพ Stats อัพ Skill แล้วมีตัวละครที่มีความสามารถแตกต่างกันให้เลือกเหมือนเลือกคลาส สามารถปรับแต่งปืนได้อิสระหลากหลาย โอ้โฮ เกมอะไรน่าเล่นโคตร  แต่เล่นจริงพบว่าลำบากชีวิตพอ ๆ กับตอนเล่น Diablo 1 อยู่  คือแรก ๆ เดินดุ่ม ๆ เข้าไปซ่ากลางรังศัตรูไม่ได้ ต้องใช้วิธีค่อย ๆ ยิงตอด แล้วหนีมาฟื้นพลัง พร้อมแล้วก็กลับไปยิงใหม่ แล้วหนีมาพัก กระสุนหมด? เกมจะมีตู้ขายกระสุนรออยู่ใกล้ ๆ จุดสู้บอสอยู่แล้ว ทำให้สู้แบบยืดเยื้อได้เรื่อย ๆ  แล้วตอนหลังมาพบว่า ยิงอย่างเดียวไม่พอต้องคอยกดใช้สกิลด้วย ช่วยร่นเวลาให้นิดนึงแน่ะ

แต่เกมนี้มีสิ่งหนึ่งที่ต่างจาก FPS ทั่วไป คือไม่มีความรู้สึกสะใจตอนยิงโดนศัตรู เพราะมันไม่มีการสะดุ้งสะเทือนอะไรให้เห็น มีแค่ตัวเลข Damage ลอยขึ้นมาเท่านั้น เห็นเขาว่ามันเป็นลักษณะของเกมแบบฟองน้ำซับกระสุนอะไรนี่แหละ ดังนั้นเกมนี้เหมือนออกแบบให้สนุกในแบบ RPG มากกว่า FPS อีก

หลังจากเกมนี้ผมก็ห่างหายไปจากเกม FPS พักใหญ่ จนคน ๆ นั้นกลับมา....



Left 4 Dead 1 + 2

เกม ๆ นี้ผมไม่เคยซื้อเลย ภาคแรกได้ฟรีจากกิจกรรมช่วง Holiday Sale ปี 2011 มันเข้ามานอนเป็น Gift อยู่ในช่องเก็บของนานหลายปี ผมไม่คิดจะเปิดมันเลย เกือบจะยกให้เพื่อนด้วยซ้ำ ส่วนภาค 2 ถ้าจำไม่ผิดเขาจะแจกฟรีเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ตอน Winter Sale ปี 2013 โดยเงื่อนไขการแจกฟรีคือต้องติดตั้งแล้วกดเล่นด้วย ผมก็กดเล่นไปนิดนึงแล้วก็ถอนการติดตั้ง ดองมายาวนาน จนช่วงปี 2017 ทั้ง 2 ภาคก็ได้ถูกปลุกขึ้นมา...

ยังจำเพื่อนที่อยากให้ผมเล่น Counter-Strike จนซื้อ Half-Life ให้ก่อนได้มั้ย เพื่อนคนนั้นขาดการติดต่อไปหลายปี คือช่วงที่เข้าสู่ Steam ไม่มีการติดต่อกันเลย จนวันนึงเขากลับมา และชวนเล่นเกมมัลติเพลเยอร์กัน ตอนแรกผมเห็นเขาเข้าสู่วงการ Steam ก็คิดจะยก Left 4 Dead ภาคแรกให้ แต่นั่นแหละเกมแบบมัลติที่เขาต้องการ ก็เลยเปิดใช้เอง แล้วเพื่อนก็ไปซื้อเอาเองตอนนั้นลดถูกมาก ๆ 

จากนั่นก็ลุยโหมดเนื้อเรื่องแบบเล่นแค่ 2 คน (กับบอท 2 ตัว) เล่นไปจนจบทุกฉากทั้ง 2 ภาค  เพื่อนฟินได้เล่น FPS กับเพื่อนเก่า ส่วนผมสนุกที่ได้ลงม็อดตัวละครจากเกมและอนิเมะต่าง ๆ   แต่บอกเลยนะ ให้เล่นคนเดียวกับบอทก็ไม่เอาหรอกเกมนี้ 



Serious Sam 2

เพื่อนคนเดิมรู้สึกอยากตอบแทนผมมาก ที่ทำให้มารู้จักกับ Steam (และเรื่องอื่น ๆ) เขาอยากให้ของผมสักอย่าง แล้วเขาก็ให้การ์ดสะสมของ Mega Man Legacy Collection ใบที่ผมขาดอยู่มาจนครบชุด แล้วการ์ดสะสมใน Steam นี่พอสะสมครบจะนำมาคราฟต์เหรียญตราได้ โดยเมื่อคราฟต์แล้วจะได้ของแถมเพิ่มเติม เช่น วอลเปเปอร์สำหรับแต่งโปรไฟล์ อิโมติค่อนสำหรับใช้ตอนแชท และมีบางครั้งที่จะมีคูปองลดราคาเด้งออกมาด้วย (ปัจจุบันยังมีอยู่รึเปล่าไม่รู้) และการคราฟต์แห่งโชคชะตาวันนั้นมันก็เป็นคูปองลดราคาเกมนี้นั่นเอง....

เอาจริง ๆ ตอนนั้นผมยังเหนื่อยไม่หายกับการลุย Left 4 Dead 2 แต่แล้วคูปองลดราคาเกม FPS ที่เล่นมัลติกับเพื่อนได้ดันเด้งออกมา ลดค่อนข้างเยอะมาก ไม่ใช้ก็เสียดายแย่ แล้วมันก็เข้าทางเพื่อน ได้เล่น FPS มัลติอีกแล้ว

แซมเครียด 2 เป็นเกมยิงแหลกอย่างแท้จริง คีย์ก๊งคีย์การ์ดไม่ต้องหา เดินหน้าลุยยิงศัตรูเป็นฝูง ๆ กันจริงจัง ก็เล่นมัลติ 2 คนไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงฉากนึงที่ต้องกระโดดข้ามบ่อหนาม ก็ไม่มีใครผ่านมันไปได้ ก็สรุปปิดฉากการเล่นเกมนี้แต่เพียงเท่านี้



DOOM 64 เกม Doom ที่วกวนกว่าเดิม

จากนั้นผมก็ห่างหายจาก FPS ไปนานมาก ๆ จนปี 2022 ที่ผมเริ่มรับเกมฟรีจาก Epic Store วันนึงเขาแจก Doom 64  ก็รับมาสักพัก แล้ววันนึงก็งัดมาเล่น

เกม Doom 64 เป็นเกมที่ทำลงเครื่อง Nintendo 64 โดยค่ายอื่นที่ไม่ใช่ Id software ทำให้บรรยากาศเกมดูต่างออกไป และพัซเซิลที่รู้สึกจะยากลำบากกวนประสาทกว่าเก่า พวกมุกกดสวิตช์แล้ววิ่งให้ทัน มุกของซ่อนโผล่มาตรงจุดที่เพิ่งเดินผ่านไป (คือปล่อยให้เราเดินอ้อมหาไปรอบ จริง ๆ หันหลังก็เจอแล้ว) เอาจริง ๆ มันก็ Doom แหละ แต่ถ้าอยากได้ฟีลลิ่ง Doom แบบคลาสสิก มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น

แน่นอนว่าที่ได้มาเล่นเพราะจู่ ๆ เขาก็เอามาพอร์ตลงคอนโซลและ PC ให้ได้เล่นกันทั่วช่วงปี 2020 โดยมีการอัพเอ็นจินและกราฟิกให้เหมาะกับยุคสมัย แม้ตัวละครจะยังเป็นสไปร์ท 2D อยู่ก็ตาม



การกลับมาของ Half-Life 1

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนปี 2023 ที่ผ่านมา จู่ ๆ Valve ก็ออกอัพเดตให้ Half-Life ภาคแรกใหม่ ปรับปรุงระบบให้ทันสมัยขึ้น รองรับจอยเกมเต็มรูปแบบ ออนไลน์เล่นกับเพื่อนได้ง่ายขึ้น เอาจริง ๆ มันพัฒนาจนดีกว่า HL2 แล้ว (ในแง่คุณภาพชีวิต ไม่ใช่เนื้อหา) และเอามาแจกฟรีในช่วงนั้น (ใครไม่ได้ไปรับตอนนั้น ตอนนี้คือต้องซื้อ แต่ไม่แพงหรอก) ซึ่งการที่ผมได้กลับมาเล่น HL1 อีกครั้งก็ปลุกความอยากตามเล่น FPS เก่า ๆ อีกครั้ง คือรู้สึก HL1 มันเก่าไม่พอ อยากได้เก่ากว่านี้



Metro 2033 / Metro Last Light

ก่อนจะไปหาเกมเก่า ผมก็ขุดหา FPS เกมอื่น ๆ ที่ผมมีอยู่ซะก่อน เพราะรับเกมฟรีมาเยอะ ก็ไปเจอเกม Metro 2033 และ Metro Last Light Complete ดองอยู่ใน Steam พอเอามาเล่นก็ชอบมาก เพราะเป็น FPS แบบเน้นเนื้อเรื่อง ดำเนินในยุคหลังโลกล่มสลาย อากาศเป็นพิษ คนต้องมาอยู่กันใต้ดิน เกมสร้างบรรยากาศชุมชนแออัดได้ดีมาก ๆ ฉากสู้ก็สนุกและไม่ยากเกินไป ยกเว้นส่วนของการลอบเร้น ที่บางทีก็ตึงมือไปหน่อย 

เกม Metro ทั้ง 2 ภาคมีการออกเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ (แบบออกตามภาคดั้งเดิมมาติด ๆ) โดยแปะชื่อลงท้ายว่า Redux ซึ่งภาคแรกมีการปรับปรุงทั้งกราฟิกและระบบเกมให้เหมือนภาค Last Light ส่วนภาค Last Light เหมือนจะปรับปรุงกราฟิกนิดหน่อย แต่กินทรัพยากรเครื่องน้อยลง ก็คือไม่มีเหตุผลให้กลับไปซื้อภาคเก่า (ซึ่งก็เลิกขายไปแล้ว) แต่ต่างประเทศเขาชอบภาค 2033 แบบดั้งเดิมกันนะ เหมือน Redux จะปรับบางอย่างให้ง่ายไปเลยไม่ท้าทายงี้ล่ะมั้ง  ผมนั้นมี Last Light Redux ที่ได้มาฟรีอยู่ใน Epic Store และ GOG อยู่แล้ว แต่สุดท้ายเพราะตอนนั้นชอบมาก ๆ เลยไปซื้อบน Steam มาอีก



Doom รอบหลัง (ไม่ใช่เวอร์ชันปี 2016) 

หลังจากเล่น HL1 ที่อัพเดตใหม่ ผมอยากเล่น FPS เก่า ๆ มาก แต่ตอนนั้น Doom ก็ไม่ลดราคาซะที แต่เคยได้ยินว่ามีโปรแกรมที่เรียกว่า Source Port หรือก็คือเอา source code เกม Doom มาพอร์ตลงระบบต่าง ๆ  และมีการปรับปรุงให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และ Source Port ที่นิยมที่สุดตอนที่เขียนอยู่นี้ก็คือ GZDoom  วิธีการเล่น Source Port ก็แค่ไปหาไฟล์ WAD ที่เก็บตัวข้อมูลทั้งหมดของ Doom มาวางในโฟลเดอร์ของ GZDoom ก็เรียบร้อย (แต่ถ้าคุณมีเกม Doom ติดตั้งอยู่ใน Steam หรือ GOG มันจะไปสแกนหาให้เองเลย) ตอนแรกผมก็ไปหาไฟล์ WAD ของ Doom ภาคแรกเวอร์ชั่น Shareware มา แต่มันดันมีคนเอามาปล่อยไว้แบบตัวเต็ม ๆ เลย ก็เอามาเล่นรอจนกว่าจะลดราคาไป ไป ๆ มา ๆ ดันเล่น Doom ภาคแรกจบซะก่อน😄  คราวนี้เป็นการเล่นแบบไม่ใช้สูตรเลย ยกเว้นด่านสุดท้าย ขอใช้ซะหน่อยจะจบอยู่แล้ว

ระหว่างที่เล่นภาค 2 ต่ออยู่ ผมก็นึกได้ว่า เฮ้ย มันก็มีใน PC Game Pass นี่หว่า ก็เลยสมัคร PC Game Pass เดือนนึงซะ แล้วก็ลุยเล่นทั้ง Doom และ Quake มันทุกภาคเลย กลายเป็นช่วงเวลาที่เล่น FPS มากที่สุดในชีวิต โดยเกม Doom ทั้ง 2 ภาคจะมีการอัพเดตเอ็นจินใหม่ช่วงปี 2020 ให้เขียนด้วย Unity รองรับการเล่นด้วยจอยเกม มี Mod แบบคัดมาแล้วให้โหลดเพิ่มแบบฟรี ๆ (ซึ่งจริง ๆ Mod พวกนี้ส่วนใหญ่ก็ฟรีอยู่แล้ว) และรองรับ Wide Screen ด้วย แต่เทียบกับ GZDoom แล้ว ฟีเจอร์การปรับปรุงกราฟิกยังไม่จัดเต็มเท่า

สุดท้ายหลังหมด PC Game Pass ผมก็ตัดสินใจซื้อ Doom II มา (ภาคแรกเล่นจนพรุนแล้วไง เลยเอาภาค 2 ก่อน ภาคแรกกะไว้ไถ่บาปทีหลัง) แต่จู่ ๆ เมื่อเดือนสิงหาคม 2024 ก็ได้อัพเดตเป็น Doom + Doom II หน้าตาเฉย (คือได้ภาคแรกมาฟรี ๆ เลย) ซึ่งคราวนี้มากับเอ็นจินใหม่อีกแล้ว เป็น KEX Engine  ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Doom 64 และ Quake II (ฉบับอัพเดตปี 2023) ซึ่งแม้จะดูเดิม ๆ  แต่มีการปรับปรุงแบบยกเครื่องจริง ๆ ระบบเซฟที่เคยมีปัญหากับวันที่ภาษาไทยก็ได้รับการแก้ไขแล้วด้วย  และระบบโหลด Mod ที่เดิมมีแต่ Mod ที่คัดมา รอบนี้จะมี Mod แบบอัพโหลดอิสระมาให้โหลดกันด้วย   และที่สำคัญเวอร์ชันนี้บน Steam จะรองรับ Achievement แล้ว (เดิมมี Achievement แค่ใน Pc Game Pass)



Quake รอบสอง และ Quake II รอบแรก

การกลับมาหา Quake เล่นนี้ ก็ต่อยอดมาจากการหา Doom กลับมาเล่น แล้วพบว่าฝั่ง Quake ก็มี source port เหมือนกัน โดยตอนแรกก็ไปเอา vkQuake มาลอง โดยไปหาไฟล์เดโม่ของ Quake มาใช้ ซึ่งเอามาแล้วต้องติดตั้งแบบสมัย DOS เลย ถึงจะได้ตัวไฟล์ออกมา แล้วก็เอาโปรแกรม vkQuake ใส่เข้าไปเป็นอันจบ 

พอได้เล่น Quake แบบเต็ม ๆ ครั้งแรกแล้วก็พบว่าชอบกว่า Doom อีก อาวุธแม้จะดูเชย แต่พัซเซิลมันออกแบบได้สนุกมาก โดยตัวเดโม่จะเล่นได้ Episode เดียว ตอนหลังเลยไปเล่นผ่าน PC Game Pass อีก พบว่า Episode อื่น ๆ ก็น่าสนใจ พวกฉากเสริมก็ออกแบบดี ฉากที่ทำมาใหม่ตอนอัพเดตปี 2021 ก็สุดยอดทั้งนั้น โดยฉบับอัพเดตปี 2021 จะมีการเพิ่ม Mod แบบที่คัดแล้วมาให้โหลดเหมือน Doom ซึ่ง Mod ที่คัดมานี่ออกแบบดีมาก แต่ส่วนใหญ่รู้สึกจะยากไปนิด 😄

ส่วน Quake II ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย นอกจากภาพ ๆ เดียวในนิตยสารเกมเมื่อนานมาแล้ว เพิ่งได้มาเล่นครั้งแรกผ่าน PC Game Pass ซึ่งพอเล่นแล้วก็จัดเป็นคนละเกมกับภาคแรกอย่างที่เขาว่าแหละ เพราะเดิมเขาจะใช้ชื่ออื่น แต่สุดท้ายเลือกจะเกาะชื่อ Quake ต่อ  ภาคแรกจะออกแนวปีศาจต่างมิติออกไปทางดาร์คแฟนตาซี พอมาภาค 2 ดันเป็นไซไฟอวกาศเต็ม ๆ มีการเพิ่มคัตซีน และการออกแบบฉากก็ดูเป็นฉากที่ใช้งานจริง มากกว่าฉากที่เป็นแค่เกมแบบภาคแรก การต่อสู้กับศัตรูบางตัวก็ต้องใช้กลยุทธการเคลื่อนไหวมากขึ้น อาวุธก็มีให้ใช้เยอะขึ้น  ตัวภาค 2 ไม่เน้นการ Mod อีกต่อไป ก็เลยไม่มีระบบโหลด Mod แบบภาคแรกแล้ว  แต่ฉากใหม่ที่เพิ่มมากับการอัพเดตปี 2023 ก็ทำมาได้หลากหลายคุ้มค่ามาก  ไป ๆ มา ๆ Quake II ก็กลายเป็นเกมโปรดอีกเกม เลยตัดสินใจซื้อก่อน Quake ภาคแรก ซื้อก่อน Doom II ด้วยเอ้า



ส่งท้าย เกมอื่น ๆ ที่ไม่เข้าตา

ในช่วงลอง PC Game Pass ผมก็ลองทั้ง Doom 3 และ Quake 4 ด้วย (Quake 3 เป็นมัลติเพลเยอร์ ข้ามไป)  Doom 3 จำได้ว่าออกมาแข่งกับ HL2 ในสมัยนู้น แต่ก็ไม่เคยได้แตะเลย เพราะยุคนึงมันไม่ซัพพอร์ตวินโดวส์รุ่นใหม่ ๆ จนตอนนี้ออกอัพเดตแก้แล้ว แต่ก็บอกได้ว่าสู้ HL2 ไม่ได้จริง ๆ ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้เลย นอกจากจะบอกว่ามันคนละแนว  ส่วน Quake 4 อาจจะดูดีกว่า Doom 3 นิดหน่อย แต่เกมก็ดูโบราณจนทนเล่นในยุคนี้ไม่ได้แล้ว (แต่ทำไม Doom 1-2 กับ Quake 1-2 ทนเล่นได้ก็ไม่รู้ ก็มันคลาสสิกไง😄) ส่วน Doom 2016 ก็เคยเล่น Demo นะ แต่ไม่ชอบเท่าไหร่ คือฟีลลิ่งมันคล้าย ๆ เกมของอินาฟุเนะยุคหลัง ๆ ที่ให้ยิงนำแล้วกดใช้ท่าอย่างอื่นตาม อย่างเกม Mighty No.9 กับ Azure Striker Gunvolt งี้

เกมอื่น ๆ ที่ดูเหมือนจะเข้าข่ายแต่เลือกที่จะไม่นับ ก็มี Fallout ทั้งหลาย ที่เวลาเล่นผมชอบเล่นในมุมมองบุคคลที่ 3 มากกว่า แล้วมันมีความเป็น RPG สูงกว่าจะเป็น FPS (แล้วที Borderlands 2 ล่ะ) ก็เลยถือว่าไม่อยู่ในหมวดนี้ แล้วก็เกมยิบ ๆ ย่อย ๆ ที่จำไม่ได้อีกมากมาย  พวก FarCry ก็มีนะ แต่ไม่เคยเอามาเล่นเลย  ตอนที่จู่ ๆ อยากเล่น FPS ก็ไม่นึกถึงเลย 😅



ความทรงจำประจำปีนี้ก็จบเท่านี้ ขออภัยในความยาว แล้วอ่านแล้วอาจไม่ได้อะไรเลย...

สวัสดี




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

RPG Maker MV มีดีอะไร แล้วภาษาไทยล่ะ?

RPG Maker VX Ace กับภาษาไทย

RPG Maker VX Ace กับการแปลไทย

เล่นแล้วมาเล่า... Torchlight 2 ตัวจริงเต็ม ๆ !!

เก็บตก RPG Maker MV ฉบับลองใช้จริง.....

เก็บตก Torchlight 2

[ลอง 3 เดือนนิด ๆ แล้วรีวิว] จอย 8BitDo SN30 Pro+

[บันทึก] 3 เดือนนิด ๆ กับจอย DualShock 4 (บน PC)

[Life] บันทึกเดือนมีนาคม 2556